วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

ข้อแนะนำเบื้องต้นในการใช้กล้อง D-SLR

ข้อแนะนำเบื้องต้นในการใช้กล้อง D-SLR



1. การประกอบเลนส์เข้ากับตัวกล้อง ให้ดูจุดสีแดงหรือสีขาวที่ท้ายเลนส์ให้ตำแหน่งตรงกับจุดสีที่เม้าท์กล้อง เมื่อประกบกันสนิทแล้วให้หมุนเลนส์จนได้ยินเสียง “คลิ๊ก”




2. ที่ตัวเลนส์ (กล้องบางยี่ห้อเช่น Nikon สวิตช์อยู่ที่ตัวกล้อง) ให้ดูว่าสวิตช์เลือกระบบโฟกัสอยู่ที่ตำแหน่งใด หากอยู่ที่ตำแหน่ง MF (แมนนวลโฟกัส) ให้เปลี่ยนเป็น AF (ออโต้โฟกัส) ในโหมดโฟกัสนี้ กล้องจะปรับโฟกัสให้คมชัดอัตโนมัติ และหากที่ตัวเลนส์มีสวิตช์ STARBILIZER, VR หรือ ระบบป้องกันภาพสั่นไหว ให้ปรับสวิตช์ไปที่ตำแหน่ง ON จะทำให้ภาพคมชัดแม้ว่าจะถือกล้องถ่ายภาพด้วยความเร็ว
ชัตเตอร์ต่ำ

3. ใส่เมมโมรี่การ์ดเข้าไปตรงๆ ด้วยความระมัดระวังจนสุด จากนั้นปิดฝาครอบ เมื่อถ่ายภาพเต็มแล้ว ให้นำไปโหลดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นลบภาพในการ์ด แล้วนำมาถ่ายใหม่ได้




4. ปรับแป้นหมุนเลือกโหมดบันทึกภาพไปที่ตำแหน่งฟูลออโต้ ในโหมดนี้ กล้องจะปรับการทำงาน ทุกอย่างให้อัตโนมัติ ตั้งแต่การปรับโฟกัส วัดแสง หากแสงน้อยเกินไปแฟลชจะเปิดขึ้นเองอัตโนมัติ



5. ดูภาพจากช่องมองภาพ จัดองค์ประกอบภาพตามที่ต้องการ โดยถือกล้องให้นิ่งที่สุด กดปุ่มชัตเตอร์ ลงไปครึ่งหนึ่ง กล้องจะโฟกัส และวัดแสง จากนั้นกดปุ่มชัตเตอร์จนสุด


6. ภาพที่บันทึกไปแล้วจะแสดงให้เห็นบนจอ LCD ชั่วครู่ หากต้องการเปิดชมภาพให้กดปุ่มเปิดชมภาพทางด้านหลัง

กล้องDSLR


D-SLR หรือ DSLR ย่อมาจากคำว่า Digital Single-Lens Reflex
หมายถึงกล้องดิจิตอลที่มีกลไกในลักษณะเดียวกันกับกล้อง แบบฟิล์ม 35mm. SLRเพียงแต่ใช้เซนเซอร์ในการรับภาพ แทนการใช้ฟิล์ม

ส่วนประกอบของกล้อง D-SLR
-เซนเซอร์รับภาพ หรือเรียกว่า Image Sensor ใช้ในการรับสัญญาณภาพแล้วแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัล
-Exposure modes ใช้ในการเปลี่ยนโหมดการถ่าย หรือ โหมดการทำงาน
-ปุ่มกดชัตเตอร์ ใช้ในการสั่งให้ชัตเตอร์ทำงาน
-แฟลช ใช้ในการเพิ่มแสงให้ภาพ หรือ ทำให้เกิดแสงสะท้อน
-Hot Shoe ในกรณีที่แฟลตในตัวเครื่องไม่เพียงพอสามารถต่อเพิ่มแฟลต
ไฟแสดงสถานการณ์ตั้งเวลาถ่ายภาพ เป็นไฟ LED กระพริบตามเวลาการตั้งถ่ายภาพ

-เลนส์ถ่ายภาพ มีหลายชนิด ตามการใช้งาน และ ชนิดของ Lens mount
-ปุ่มเปิดปิด ใช้สำหรับเปิดปิดกล้อง
-เซลล์วัดแสงแฟลตทำจาก CCDใช้วัดแสงจากวัตถุเพื่อชดเชยแฟลต
-ช่องมองภาพ ใช้สำหรับมองภาพ ซึ่งภาพจะถูกสะท้อนผ่านกระจกสะท้อน ที่อยู่ด้านหน้าเซ็นเซอร์รับภาพ
-USB Socket เป็นช่องสำหรับเสียบสาย USB เพื่อย้ายข้อมูล
-ช่องเสียบหม้อแปลง เป็นช่องนำเข้าไฟจากหม้อแปลง
-หน้าจอLCD สำหรับแสดงภาพ และการตั้งค่า โดยกล้องบางรุ่นจะมีหน้าจอแยกกัน
เพื่อแสดงรายละเอียด ที่แตกต่างกัน
-ช่องต่อขาตั้ง เป็นช่องสำหรับต่อกับขาตั้งกล้อง
-ช่องใส่การ์ดความจำ สำหรับใส่การ์ดความจำ
-ปุ่มคอนโทรลคำสั่ง โดยส่วนใหญ่เป็นปุ่มสี่ทิศทางใช้สำหรับเลื่อนปรับค่าต่างๆ
-วงล้อปรับค่า เป็นวงล้อด้านบนของกล้อง ใช้สำหรับปรับค่าโดยเฉพาะ เช่น รูรับแสง
ค่าชดเชยแสง
-วงล้อโฟกัส เป็นวงล้ออยู่บนเลนส์ ใช้สำหรับปรับระยะโฟกัสของเลนส์
-วงล้อซูม เป็นวงล้ออยู่บนเลนส์ ใช้สำหรับปรับอัตราขยายของเลนส์
-รังถ่าน ใช้สำหรับใส่แบตเตอรี่ของกล้อง
-แบตเตอรี่ เป็นแหล่งพลังงานของกล้อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นLithium ion หรือ Nickel metal hydride battery
-ช่องต่อออกสัญญาณวิดีโอ เป็นสายสัญญาณขนาดเล็กใช้ต่อกับโทรทัศน์ผ่านช่องComposite

บุคลิกภาพและจรรยาบรรณของนักแสดง

บุคลิกภาพและจรรยาบรรณของนักแสดง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นักแสดง

ไม่ว่าการศึกษาวิชาศิลปะการแสดงนั้นจะเป็นไปเพื่อประกอบอาชีพ เพื่อประดับความรู้หรือเพื่อการอื่น ๆ เมื่อผู้ศึกษาเล่นละคร ละครเวที หรือภาพยนตร์ได้ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ความเก่งกาจสามารถมากหรือน้อยเป็นเรื่องที่จะต้องฝึกฝนกันเอาเองต่อไป
ความสำเร็จของการเป็นนักแสดงที่ดีนั้น มิใช่เพียงขึ้นอยู่กับว่ามีฝีมือการแสดงดีเท่านั้นหากแต่ยังต้องมีส่วน อื่น ๆ ประกอบกันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของโลกทัศน์หรือทัศนคติที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว
ศิลปะการแสดงก็เปรียบได้กับศาสตร์อื่น ๆ ทั่วไป คือมีทั้งผู้ที่เก่งกาจ และผู้ที่อยู่ในระหว่างการฝึกฝนเพื่อที่จะได้เป็นคนเล่นละครที่เก่งต่อไป ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงไม่น้อยไปกว่าทฤษฎีการแสดงก็คือ การหมั่นฝึกฝนและสำรวจตัวเองในเรื่องของโลกทัศน์ที่มีต่อการแสดง และเรื่องทั่ว ๆ ไป
คุณสมบัติของนักแสดงที่ดี
1. การขยันขันแข็งในการฝึกซ้อม ท่องบท จะช่วยให้มีความคล่องตัวช่วยเพิ่มพูนฝีมือ เพิ่มพูนความเข้าใจ เพิ่มพูนความเร็ว การขยันฝึกซ้อมนั้นจะต้องทำให้เป็นนิสัยแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่เก่งแล้ว มีฝีมือเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไปแล้ว ก็ยังต้องหมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ
2. หมั่นศึกษาหาความรู้ทางศิลปะการแสดงเพิ่มเติมอยู่เสมอ จากครูอาจารย์ เพื่อนร่วมงาน จากตำรับตำรา จากการฟัง ฯลฯ วิทยาการและเทคโนโลยีนั้นก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา หากไม่หมั่นศึกษาจะกลายเป็นคนล้าหลัง และตามเพื่อนพ้องไม่ทัน
3. มีความละเอียดละออในการดู การอ่านบท การเขียนบท และ การเล่นละคร อย่าปล่อยให้รายละเอียดความสวยงามที่น่าสนใจ หรือกลเม็ดต่าง ๆ ผ่านไป โดยมิได้กระทบโสตประสาทของเรา
4. ลดอัตราในตัวเองให้มากที่สุด จงเป็นคนถ่อมตัว อย่าถือเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ อย่าคิดว่าเราต้องเป็นฝ่ายถูกตลอดกาล การคิดเช่นนั้น จะทำให้เราไม่ได้อะไรใหม่ ๆ และกลายเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาด
ละครนั้นเป็นศิลปะอิสระที่ไร้ขอบเขต ความสวยงามมิได้อยู่ที่เล่นได้ถูกต้องตามบทต้นฉบับเท่านั้น แต่อยู่ที่ผู้เล่นสามารถสื่อถึงผู้ชมได้ดีเพียงไร การมีอัตรามากจะทำให้เราถูกขังอยู่แต่ในความคิดคำนึงของเราคนเดียว ไม่อาจข้ามพ้นไปรับความเป็นอิสระในทางความคิดใหม่ ๆ ทั้งที่เราก็มีความสามารถในการสร้างสรรค์ได้ดีอีกคนหนึ่ง
5. อย่าตำหนิติเตียนผู้ที่มีฝีมือการแสดงด้อยกว่า แนะนำสิ่งที่น่าสนใจแก่เขาตามกำลังความสามารถของเขาที่จะรับได้ จงให้กำลังใจเขาและส่งเสริมให้เขามีฝีมือขึ้นมาเสมอเรา หรือก้าวไปไกลกว่าเรา ความเจริญและความดีงามของสังคมขึ้นอยู่กับบุคคลที่มีคุณภาพเป็น จำนวนมาก
6. เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าในหมู่เพื่อนร่วมงานหรือผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในธุรกิจการละคร รับฟังและเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น อย่าเป็นตัวสร้างปัญหาในกลุ่มคนที่ร่วมงานกับเรา จะทำให้เราเป็นบุคคลที่น่าเบื่อหน่าย
7. เป็นผู้ที่ตรงต่อเวลา ไม่ว่าจะเป็นการนัดฝึกซ้อมหรือในการแสดงจริง ต้องตรงต่อเวลาจริง ๆ ทั้งยังต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับอุปสรรคในการเดินทางด้วย งานทุกงานควรเริ่มต้นและจบลงตามกำหนดการ ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ฟังได้และอภัยให้ได้สำหรับความผิดพลาดเรื่องเวลา
8. เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกผู้อื่น จงกระทำในลักษณะแนะนำ แจกแจงชี้ให้เห็น จงคำนึงถึงความยอมรับในตัวเราจากผู้เรียนให้มากที่สุด และถ่ายทอดความรู้ที่มีโดยไม่ปิดบังอำพราง ผู้รับจะรับความรู้ที่เราถ่ายทอดให้ได้ตามความสามารถในการเรียนรู้ของเขาการถ่ายทอดความรู้โดยไม่ปิดบังจะก่อให้เกิดลักษณะที่เรียกว่าการต่อยอดทางการเรียน ศิษย์ที่รับความรู้ได้เร็วจะนำความรู้ที่ได้ไปฝึกฝนหรือค้นคว้า ต่อออกไปอีก ทำให้ความรู้ความสามารถแตกสาขาออกไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
9. จงเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น อย่าถือวิสาสะหยิบหรือเคลื่อนย้ายของใช้ของผู้อื่น โดยเจ้าของมิได้อนุญาติเสียก่อน
10. นักแสดงต้องรู้หน้าที่ของตนเอง เมื่อแสดงละครอยู่บนเวทีหรือหน้ากล้องต้องรู้จักรับผิดชอบในการเล่นละครให้สมบทบาทที่ตนเองได้รับให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามคำสั่งในบทละครของตนเองอย่างดีที่สุด ไม่ควรก้าวก่ายไปเล่นบทพูดที่มีผู้เล่นอยู่แล้ว จะทำให้เกิดความสับสนในการต่อบทและเกิดการผิดคิว เนื่องจากการเล่นผิดเล่นถูกซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการแสดงละครเลยแม้แต่น้อย
11. จงเป็นผู้มองโลกในแง่ดีเสมอให้อภัยคน อย่าเป็นคนโกรธง่าย อย่าใช้ยาเสพติดช่วยสร้างอารมณ์ในการเล่นละคร นักแสดงควรมีอารมณ์สุนทรีย์โดยธรรมชาติ มองโลกในแง่ดี มองโลกให้กว้างเพื่อความมีสุขภาพจิตที่ดีในชีวิต
12. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทั้งฝีมือและพฤติกรรม คนแต่ละคนมีจริต และสิ่งเอื้ออำนวยที่แตกต่างกันโดยธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่จะเปรียบเทียบกันได้ ความกระตือรือร้นและทะเยอทะยานที่จะมีฝีมือและความรู้ที่มากขึ้น ควรขึ้นอยู่กับความท้าทายจากสิ่งที่เราเรียนรู้มิควรให้เกิดจาก ความคิดที่จะเอาชนะผู้อื่น เราจะไม่มีวันชนะใครตราบเท่าที่เราอยากเอาชนะ
ความเป็นนักแสดง สิ่งที่จะต้องทำเป็นประจำคือการเล่นละครเพื่อสื่อถึงผู้ชม นั่นเท่ากับว่าตลอดเวลาเราทำการแสดงเพื่อผู้อื่นรับชมอยู่แล้ว ดังนั้นจิตสำนึกของนักแสดงจึงต้องคำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเอง จงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ผู้อื่นได้รับความสุขอย่างเต็มที่ จะต้องคิดเสมอว่าสิ่งที่ออกไปจากเรา ผู้อื่นเขารับแล้วพอใจไหม ยินดีหรือไม่ การคิดคำนึงอย่างนี้จะนำให้เรากระทำแต่สิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลา

ศิลปะการแสดง

ศิลปะการแสดง (performing arts) คือ การแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ประกอบด้วยดนตรี นาฏศิลป์ และการแสดงประเภทต่างๆ สำหรับความหมายของศิลปะการแสดง อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีกให้ความหมายไว้ว่า "ศิลปะการแสดง คือ การเลียนแบบธรรมชาติ" และ ลีโอ ตอลสตอย ให้ความหมายไว้ว่า "ศิลปะการแสดง เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์ ด้วยการใช้คำพูดถ่ายทอดความคิด และศิลปะของการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก"
ประเภทของศิลปะการแสดง เช่น ดนตรี การละคร การเต้นรำ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บัลเล่ต์

นักแสดง


นักแสดง
นักแสดง (Actor) คือ ผู้ที่สวมบทบาทเป็นตัวละคร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในบทละครมาสู่ผู้ชม นักแสดงคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ชมมากที่สุด ผู้ที่เป็นนักแสดง พึงคิดไว้เสมอว่า "ละครคือศิลปะที่รวมศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน ความสำเร็จของละครอยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจของผู้ร่วมงานทุกฝ่าย" นักแสดงจึงไม่ควรเย่อหยิ่งหรือคิดว่าตนเป็นคนสำคัญแต่เพียงผู้เดียว และพึงระลึกเสมอว่าตัวละครในบทละครทุกตัวมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด นับตั้งแต่พระเอก นางเอก ผู้ร้าย ตัวประกอบ
นักแสดงนั้น ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลเพศ, อาชีพ, หรือ อายุเท่าไร แต่จำเป็นต้องมีความสามารถทางด้านการการแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์และองค์ประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยมาก คำว่า นักแสดง มักจะใช้เรียกว่า ดารา เสมอไป


หน้าที่ของนักแสดง


หน้าที่ของนักแสดง
หน้าที่ของนักแสดง เมื่อได้รับบทให้แสดงเป็นตัวอะไรไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ เช่น คนรับใช้ พี่เลี้ยง ทหาร ตำรวจ พยาบาล ประชาชน ก็ควรทุ่มเทฝึกซ้อมให้เต็มความสามารถ เพราะมีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างสูงสุดที่มีต่อผู้ชม และเพื่อนร่วมงานทุกฝ่าย เพราะถ้าผู้แสดงไม่ตั้งใจแสดงก็เหมือนเป็นการทำลายผลงานของผู้เขียนบท ผู้กำกับการแสดง ผู้ออกแบบฝ่ายต่าง ๆ   ฉะนั้นนักแสดงจะต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง มิใช่รักแต่ความดังที่ได้รับเป็นตัวเอก นักแสดงที่ดีต้องอุทิศตนเพื่องาน สามารถแสดงได้ทุกบทบาท มองเห็นคุณค่าของการแสดงว่าเป็นศิลปะ และควรภูมิใจที่ได้รับเลือก ให้เป็นผู้แสดง ไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ ตัวร้าย ก็สามารถให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมได้เช่นกัน

เทคนิคการแสดงพื้นฐาน


เทคนิคการแสดงพื้นฐาน
การสร้างความเชื่อ
การแสดงออกซึ่งกิริยาท่าทางของตัวละคร คือการสวมบทบาทของตัวละครในเรื่องนั้น ผู้แสดงจะต้องสร้างความเชื่อให้คนดูเกิดความเชื่อให้ได้ว่าตนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบฉากในเรื่อง เป็นเรื่องจริง ๆ การที่ผู้แสดงจะมีความสามารถตีบทได้อย่างสมจริงนั้น ผู้แสดงจะต้องศึกษาบทละคร ตัวละครที่ตนต้องแสดงอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม นับตั้งแต่บุคลิกลักษณะ นิสัยของตัวละคร กิริยาท่าทาง อารมณ์ของตัวละคร
ในการสร้างความเชื่อให้กับผู้ชมละคร ผู้แสดงจะต้องมีสมาธิ รู้จักการใช้จินตนาการ เห็นภาพลักษณ์ และอุปนิสัยใจคอของตัวละครในบทละคร ถ้าผู้แสดงละครทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าผู้แสดงละครผู้นั้นตีบทแตกได้อย่างสมจริงประหนึ่งว่าผู้แสดงกับตัวละครเป็นบุคคลเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่าสามารถเข้าถึงศิลปะของการแสดงละคร
การแสดงร่วมกับผู้อื่น

การแสดงละคร ผู้แสดงจะต้องแสดงร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง ฉะนั้นในการฝึกซ้อมละคร ผู้แสดงจะต้องฝึกการเจรจากับผู้ร่วมแสดง ไม่ควรท่องบทเพียงลำพังคนเดียว ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสกับปฏิกิริยาของตัวละครอื่น ๆ ผู้แสดงต้องแสดงทั้งบทรับ บทส่งตลอดเวลา การมีปฏิกิริยากับผู้อื่น เช่น การฟัง การแสดงกิริยาท่าทาง การรับรู้ด้วยการแสดงสีหน้า พอใจ ไม่พอใจ ดีใจ ยิ้ม หรือหน้าบึ้ง จะช่วยทำให้สามารถเข้าถึงบทบาทของตัวละครได้ลึกซึ้งขึ้น เวลาแสดงจริงจะได้สอดคล้องประสานกัน
ในฉากที่มีตัวละครเป็นจำนวนมาก ที่เป็นตัวประกอบประเภทสัมพันธ์บท เช่น แม่บ้าน คนรับใช้ คนสวนหรือตัวประกอบ ที่เสริมลักษณะเรื่องให้สมจริง อาทิ ประชาชน ทหาร ตำรวจ ไพร่พล ผู้แสดงต้องสื่อประสานได้ทั้งตัวละครที่เป็นตัวเอก ตัวสำคัญ และตัวประกอบ แม้ว่าตัวละครที่เป็นตัวประกอบจะไม่มีบทพูดแต่ก็ต้องแสดงบุคลิกลักษณะให้สมบทบาทตามเนื้อเรื่อง เพราะตัวละครที่แสดงอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้ชม จะมีความสำคัญทุกตัว ผู้แสดงละครที่ดี นอกจากจะแสดงบทบาทของตนให้สมจริงแล้ว จะต้องมีทักษะและความสามารถในการร่วมแสดงกับผู้อื่นด้วย